ล่องแก่งกลางสายน้ำเชี่ยว ลำน้ำคดเคี้ยวแห่งอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ค่ำผิงดาว เช้าชมตะวัน ท่องป่าหน้าฝน สัมผัสชีวิตแห่งธรรมชาติ ล่องแก่งหินเพิง จ.ปราจีน ศักดิ์สุภารีสอร์ท ผู้บุกเบิกการล่อง แก่งหินเพิง ที่พักสบาย อาหาร อร่อย
หาก “น้ำนิ่งไหลลึก” ใช้เปรียบเปรยใจคนที่ยากจะหยั่งถึง “น้ำใสไหลเย็น” คือความชุ่มฉ่ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตและปลอบประโลมจิตใจ “น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ” คงเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากสุภาษิตเตือนใจนักล่องแก่งแห่งแม่เรวา
ลำน้ำสายนี้เดินทางไกลจากโมโกจู ยอดเขาสูงสุดของผืนป่าตะวันตก ถาโถมสู่โตรกผาในนามน้ำตกแม่เรวา ก่อนจะไหลเรื่อยลงสู่ลำน้ำแม่วงก์ ลัดเลาะผ่านโขดหินเกาะแก่งจนเชี่ยวกรากไม่ต่างจากสายน้ำพยศท้าทายนักผจญภัย ที่ไม่กลัวเปียกปอน
สวรรค์...แค่เอื้อม
ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งเดินทางข้ามวันข้ามคืน ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงเพื่อที่จะไปถึง แค่นั่งผิวปากชมนกชมไม้สองข้างทาง จากตัวเมืองนครสวรรค์ไปประมาณ 80 กิโลเมตร ผืนป่าธรรมชาติก็ผายมือต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง
ลำห้วยแม่เรวา อยู่ในหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ที่ มว. 4 (แม่เรวา) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร, อำเภอแม่วงก์และกิ่งอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ เนื้อที่ประมาณ 558,750 ไร่ หรือ 894 ตารางกิโลเมตร
“หน่วยแม่เรวา เป็นจุดสกัดหน่วยหนึ่งของอุทยานแม่วงก์ อยู่ฝั่งนครสวรรค์ แต่เผอิญว่าตรงหน่วยนี้มีสถานที่พอจะรับนักท่องเที่ยวได้ ก็เลยเป็นหน่วยใหญ่หน่อย มีการจัดกิจกรรมรองรับนักท่องเที่ยว เช่น การล่องแก่ง เดินป่าศึกษาธรรมชาติ และเส้นทางขี่จักรยาน” จักรเพชร วรรณกูล หัวหน้าหน่วยฯ แม่เรวา ให้ข้อมูล
ว่ากันว่า แม่เรวา เป็นภาษากะเหรี่ยง เพราะลึกเข้าไปในป่าของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีหมู่บ้านกะเหรี่ยงอยู่ "เร" แปลว่า หิน ส่วน "วา" หมายถึง สีขาว "เรวา" จึงแปลตรงตัวว่า "หินขาว" ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้น ลำธารใสสะอาดสามารถมองเห็นหินทรายใต้น้ำได้ถนัด เป็นจุดเด่นของลำน้ำสายนี้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาถนนธงชัย ไหลผ่านป่าธรรมชาติโดยไม่มีพื้นที่ทำการเกษตรให้แปดเปื้อนสารเคมี
ด้วยความใสบวกกับความคดเคี้ยวของลำห้วยที่ลดหลั่นไปตามแก่งหินในช่วงที่ไหล ผ่านหน่วยแม่เรวา กิจกรรมล่องแก่งจึงเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือร่วมแรงของเจ้าหน้าที่อุทยานฯและ ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเพิ่มดีกรีความตื่นเต้นในวันหยุดพักผ่อน และมากกว่านั้นคือความรักและหวงแหนธรรมชาติที่ฝากติดไม้ติดมือกลับบ้าน
ระยะทาง 7- 8 กิโลเมตร กับระดับน้ำพอยืนถึง แก่งแม่เรวานับว่าเป็นสนามประลองที่เหมาะกับนักล่องแก่งทั้งหน้าเก่าหน้า ใหม่ มีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือปลายฝนต้นหนาว ซึ่งน้ำจะมากเป็นพิเศษ โดยเปิดให้ล่องแก่งได้ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนไปจนถึงกุมภาพันธ์
สำหรับคนที่รอนแรมมาจนถึงสวรรค์บนดินของนครสวรรค์ ที่นี่นอกจากจะเอาใจคนที่หลงใหลความแปรปรวนของสายน้ำ บางทีอาจจะได้เห็นนากเล่นน้ำ กวางน้อย หรือไม่ก็นกยูงที่มาเดินอวดโฉมอยู่ไม่ไกลจากที่พักอีกด้วย
ปราบพยศแม่เรวา
"ฝนตั้งเค้าอีกแล้ว.." ใครบางคนฮัมเพลง ขณะที่คนอื่นๆ กำลังเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมในตอนบ่ายของวัน มาถึงแม่เรวา ถ้าไม่ได้จับพายท้าทายสายน้ำคงจะเสียเที่ยว เพราะฉะนั้นจะกลัวไปไยกับสายฝน
"พี่เ งิน" กุลยดิษฐ์ ปาเวียง ชายหนุ่มร่างผอมบางผู้วางหมวก อบต.แม่เล่ย์ มาจับพายและจับไมค์เป็นหัวหน้าทีมสำหรับกิจกรรมท่องป่าล่องแก่ง มาพร้อมกับอุปกรณ์เซฟตี้ครบเครื่อง และพาหนะชวนระทึก รถอีแต๊ก ที่ติดเครื่องรอผู้โดยสารอยู่ใกล้บ้านพัก
เขาบอกว่า จุดลงเรืออยู่ลึกเข้าไปในป่าเกือบ 5 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวมีทางเลือกสองทาง คือขี่จักรยานเสือภูเขาเข้าไป หรือไม่ก็นั่งรถอีแต๊กของชาวบ้านซึ่งได้บรรยากาศคนละแบบ
หนทางไปยังจุดลงเรือ เป็นทางลูกรังที่ตัดผ่านป่าโปร่งและเป็นหนึ่งในเส้นทางขี่จักรยานของอุทยานฯ เดิมทีทางนี้เคยใช้สำหรับการชักลากไม้ในยุคของการสัมปทาน พี่เงินเล่าว่าตอนนั้นต้นไม้ถูกตัดไปไม่น้อย ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะพลิกฟื้นผืนป่าให้กลับมาร่มครึ้มเหมือนทุก วันนี้
“ตอนหลังพอเริ่มทำกิจกรรมท่องเที่ยวชาวบ้านก็เข้ามามีส่วนร่วม พอเขามีรายได้ ป่ามีคนเข้าออกตลอด การตัดไม้ก็ลดลงไป ป่ากลับมาอุดมสมบูรณ์ จากที่เคยกระทบกระทั่งกันระหว่างเจ้าหน้าที่อุทยานฯกับชาวบ้าน เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้ว กลายเป็นว่าหันมาช่วยกันดูแลรักษาป่า”
เสียงเครื่องยนต์ดังแข่งกับเสียงคนนำทาง แต่ยังจับน้ำเสียงแห่งความภูมิใจของเขาได้ วันนี้ป่ากลายเป็นแหล่งทำมาหากินและเป็นจุดหมายของคนที่อยู่ไกลออกไป บนเส้นทางที่เคยใช้สำหรับชักลากไม้ ทุกคนมองไปข้างหน้า หาที่ยึดจับไว้อย่างมั่นคง ต้นไม้สองข้างทางร่มครึ้มแทบไม่เหลือเค้าของการทำลาย
โขยกเขยกอยู่บนทางวิบากไม่นาน เราก็มาถึงจุดลงเรือ แต่ยังก่อน... เจ้าถิ่นเอ่ยปากชวนให้ไปชมสวนสมุนไพรที่อยู่ลึกเข้าไป ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยจัดการต้นน้ำขุนน้ำเย็น พื้นที่บริเวณนี้นอกจากจะใช้สำหรับเพาะกล้าไม้และปลูกพืชสมุนไพรแล้ว ยังมีนิทรรศการเล็กๆ อธิบายระบบนิเวศน์ของผืนป่า เป็นอีกจุดหนึ่งที่แนะนำให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าไปชมก่อนจะเริ่มต้นกำหนดการ ปราบพยศแม่เรวา
รถอีแต๊กวิ่งฝ่าฝนกลับไปตามเส้นทางเดิม หัวใจดูจะเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าต้องล่องแก่งท่ามกลางสายฝน เสื้อชูชีพกระชับอยู่บนตัว มือจับไม้พายไว้มั่น หัวหน้าทีมไม่ลืมแนะนำวิธีการพายเรือคายัคและการปฏิบัติตัวเพื่อความปลอดภัย ในการล่องแก่ง แม้ว่าขณะนั้นทุกคนจะมีสภาพไม่ต่างจากลูก(หมู)ตกน้ำ เพราะฝนที่กระหน่ำมาแบบไม่ปรานีปราศรัย
พี่เงินเดินนำเราลงสู่ลำห้วยแม่เรวา โดยไม่ลืมฝากคำพูดสุดท้ายไว้เตือนใจ “ถ้าเรือล่ม ไม่ต้องตกใจ ปล่อยตัวให้ไหลไปตามน้ำ ทีมงานจะตามไปช่วย หรือง่ายกว่านั้น ก็แค่ลุกขึ้นยืนเพราะน้ำที่นี่ยืนถึง”
มุขนี้เรียกกำลังใจได้อีกโข หลังจากพาตัวเองลงไปในเรือลำน้อย โดยมีฝีพายมืออาชีพคอยคัดท้าย เรือแต่ละลำก็แหวกน้ำไปอย่างช้าๆ มือใหม่มีระยะทางให้ฝึกพายอยู่พอประมาณ ก่อนที่สายน้ำราบเรียบจะเพิ่มดีกรีความแรงและวกวนเมื่อถึงกองหินต่างระดับ
ดูๆ ไปแล้วช่างไม่ต่างจากชีวิต บางครั้งราบเรียบ บางคราวกลับเต็มไปด้วยอุปสรรค ถ้าฝ่าไปไม่ได้ก็อาจล้มคว่ำ ผิดกันก็ตรงที่คนล่องแก่งมักพุ่งเข้าหาอุปสรรคเสมอ และไม่ว่าจะ "ล่ม" หรือ "รอด" เสียงหัวเราะไม่เคยขาดหาย ที่เหลือคือความมุ่งมั่นที่จะพิชิตด่านต่อไป
ตลอดระยะทางเกือบ 8 กิโลเมตรของการล่องแก่งแม่เรวา มีจุดวัดใจและวัดดวงถึง 5 แก่ง ระดับความยากมีตั้งแต่ระดับ 1,2 , 3 และ 3+ ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่นักล่องแก่งว่าไม่ยากมากนัก แต่ก็สนุกสนานเพราะมีแก่งอยู่ตลอดทางและแต่ละแก่งสายน้ำจะแยกออกเป็นหลายสาย ส่วนทัศนียภาพไม่ต้องพูดถึง ในช่วงฟ้าเปิดหากมองขึ้นไปบนเขาจะเห็นจุดชมวิวมออีหืด แต่ในวันฝนพรำ ไอสีขาวจะลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ขณะที่บนภูเขามีหมอกบางๆ คลอเคลีย ราวกับว่าเรือลำน้อยกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน
“ขึ้นได้แล้ว” เสียงใครบางคนดังขัดอารมณ์เมื่อเรือของเรามาสิ้นสุดเส้นทางที่แก่งลานนกยูง แก่งที่เล่าขานว่ามีนกยูงออกมารำแพนหางใช้ชมบ่อยๆ จากจุดนี้ถ้าใครรู้ตัวว่าเป็นมือใหม่เจ้าหน้าที่แนะนำให้ขึ้นฝั่งก่อน แต่ถ้าชอบความท้าทาย แก่งสุดท้ายน้ำจะไหลเร็วและแรงผ่านแก่งหินที่ค่อนข้างชัน ซึ่งส่วนใหญ่มักจบลงด้วยการ "ล่ม"
ไม่ใช่กลัว แต่เพราะใกล้มื้อเย็นเต็มที เราเลยรีบกระโจนขึ้นฝั่ง ได้ยินมาว่าค่ำนี้มีอาหารในแบบฉบับคนเดินป่า ข้าวหุงหอมๆ ในกระบอกไม้ไผ่ ไก่กระบอก กับกองไฟเล็กๆ ที่ชาวบ้านเตรียมมาสร้างบรรยากาศแคมปิงให้สมบูรณ์แบบ
ค่ำผิงดาว เช้าชมตะวัน
ผิงดาวเกือบค่อนคืน แม้จะไม่ค่อยอยากตื่นจากที่นอน แต่คำเลื่องลือเรื่องความสวยงามของฉากพระอาทิตย์ขึ้นที่มออีหืด ยั่วใจพอให้มีแรงสลัดผ้าห่ม
ได้ชื่อว่า มออีหืด รู้เลยว่าเส้นทาง 1 กิโลเมตรที่เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่าเดินเรื่อยๆ ไม่เกิน 30 นาที คงได้หืดจับกันแน่ๆ
แม้จะเป็นยอดเขาที่ไม่สูงนัก แต่ความชันก็ไม่เป็นรองใคร ดีที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้สวยๆ อากาศสดชื่น เลยได้หอบเอาออกซิเจนเข้าปอดกันไปคนละเฮือกใหญ่
จุดเด่นของมออีหืดคือสามารถมองเห็นวิวได้ทั้งสองด้าน ด้านทิศตะวันตกเป็นจุดชมวิว ส่วนทิศตะวันออกเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก จากจุดนี้สามารถมองเห็นวิวยอดเขาโมโกจู ผืนป่าแม่วงก์ หมู่บ้านและลำห้วยแม่เรวาได้ชัดเจน
ลงจากมออีหืด ถ้าใครยังมีเรี่ยวแรงเหลือ หน่วยแม่เรวายังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ได้เดินพอเหงื่อซึม แต่ถ้าออกตัวว่าเป็นที่รักการเดินป่าเป็นชีวิตจิตใจ แนะนำให้ไปพิสูจน์ความงามของน้ำตกแม่เรวา สายน้ำที่ตกลงมาเป็นชั้นๆ ถึง 5 ชั้น ลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างซึ่งมีความกว้างราว 30-40 เมตร ระยะทางจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติถึงน้ำตกประมาณ 21 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับ 3-4 วัน ลงทะเบียนทดสอบสมรรถภาพได้ที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ
สำหรับชมรมคนรักเสือ (ภูเขา) ที่นี่มีเส้นทางจักรยานไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ทดสอบความอึด 3 เส้นทาง เส้นทางแรกมีปลายทางอยู่ที่หน่วยจัดการต้นน้ำขุนน้ำเย็น ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
"เป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไปลงเรือล่องแก่ง ที่หน่วยต้นน้ำมีสวนสมุนไพรและกล้าไม้ ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาจะมีกิจกรรมเดินชมธรรมชาติไปชมต้นกะบากใหญ่สองต้น คู่ เรียนรู้เรื่องสมุนไพร โดยมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ" จักรเพชร หัวหน้าหน่วยฯแม่เรวา แนะนำคนที่สนใจเดินป่า
อีกเส้นทางทางหนึ่งคือ ใช้ถนนลาดยางจากหน่วยอุทยานที่แก่งลานนกยูง ไปจนถึงแก่งเกาะใหญ่ ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ใช้เข้าออกอุทยาน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน และถ้าใครเคยชมภาพยนตร์เรื่ององค์บาก สามารถแวะไปชม "เศียรองค์บาก" ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ได้ที่ วัดใหม่แม่เรวา รับรองว่ามีเรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้ในภาพยนตร์เลยทีเดียว
สุดท้ายสำหรับเสือขี้เกียจ ขี่จักรยานเล่นเย็นๆ ใจ ละเลียดบรรยากาศภายในอุทยาน ชมผีเสื้อและดอกไม้สวยๆ ริมลำธาร แค่นี้ก็สุขใจเกินพอ...
ถ้าจะบอกว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ เป็นของขวัญสำหรับผู้รักความท้าทาย ก็คงไม่ผิดนัก ...แต่ถ้าถามว่า "แม่เรวา" มัดใจนักเดินทางด้วยสิ่งไหน คำตอบน่าจะอยู่ในน้ำใจของผู้คนที่ช่วยกันดูแลผืนป่าและสายน้ำจนถึงวันนี้
การเดินทาง-ที่พัก
การเดินทางโดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสายเอเซีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) มุ่งสู่นครสวรรค์ ถึงนครสวรรค์ยังคงใช้เส้นทางสายเอเซียเหมือนเดิม ขับขึ้นไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตรเศษ ถึงแยกหนองเบนแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางสาย 1072 ผ่านอำเภอลาดยาว ถึงสี่แยกเขาชนกันให้ตรงไปจนสุดเส้นทางจะถึงหน่วยแม่เรวา รวมระยะทางประมาณ 310 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
กิจกรรมล่องแก่ง ทางอุทยานมีเรือยางพร้อมด้วยทีมงานและอุปกรณ์ไว้บริการ ค่าใช้จ่ายสำหรับล่องแก่งเรือยาง 1,200 บาท/ลำ/เที่ยว นั่งได้ 5 คน เรือคายัค ลำละ 500 บาท/ลำ/เที่ยว นั่งได้ 2 คน บริการรถอีแต๊กส่งถึงจุดลงเรือ ถ้าหากต้องการปั่นเสือภูเขาไปยังจุดลงเรือทางอุทยานก็มีเสือภูเขาไว้บริการ ในราคา 100 บาท/คัน
สำหรับที่พัก หน่วยแม่เรวามีบ้านพัก 2 หลังและมีสถานที่กางเต็นท์และเต็นท์พร้อมเครื่องนอนไว้บริการนักท่องเที่ยว จองบ้านพักได้ที่เว็บไซต์อุทยานแห่งชาติ http://www.dnp.go.th/parkreserve หรือถ้าสนใจพักแบบโฮมสเตย์ก็มีกลุ่มโฮมเสตย์แม่เรวาติดต่อได้ที่ อบต.เงิน- กุลยดิษฐ์ ปาเวียง 08-7848-6895 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์หน่วยแม่เรวา 055-719014, 08-9268-7724
ข้อมูล http://www.bangkokbiznews.com/
0 comments:
Post a Comment