Ads Header

Pages

Friday, July 9, 2010

ตามรอยเส้นทางสายไหมที่ "เมืองตุนหวง"

เมืองตุนหวง ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู ทางภาคตะวันตกของจีน เป็นเมืองวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของจีน ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญจากจีนไปยังเขตซีอวี้ เอเชียกลางและยุโรป และเคยเป็นชุมทางการค้าที่เจริญรุ่งเรืองในอดีต





ตุนหวง ในฐานะเป็นมรดกวัฒนธรรมที่ล้ำค่าแห่งหนึ่งในโลกของจีน ไม่เพียงแต่เป็นจุดแวะพักสำคัญแห่งหนึ่งบนเส้นทางสายไหม ยังเป็นแหล่งบรรจบที่มีความสำคัญของอารยธรรมจีนกับอารยธรรมตะวันตก ตุนหวงลือชื่อในด้านถ้ำหินตุนหวงกับงานจิตรกรรมผนังถ้ำตุนหวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของมรดกโลก เช่น ถ้ำมั่วเกาคู ด่านอวี้เหมินกวน และด่านหยังกวนของกำแพงเมืองจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น


ศิลปวัฒนธรรมตุนหวงหรืออีกนัยหนึ่งศิลปวัฒนธรรมมั่วเกาคู ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งโลกบูรพา ณ ที่นั้นได้มีการรักษาถ้ำที่สร้างในศตวรรษที่ 4-10 รวม 735 แห่งไว้อย่างดี

ในถ้ำต่างๆ มีรูปปั้นหลากสีกว่า 3,000 รูป งานจิตรกรรมผนังถ้ำรวม 45,000 ตารางเมตร และสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยไม้ในสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง 5 แห่ง ซึ่งทำให้ผู้คนได้ดื่มด่ำในสุนทรียทางศิลปะ





นอกจากนั้นเมืองตุนหวงยังเป็นคลังทรัพย์สมบัติด้านเอกสารอีกด้วย มีเอกสารหลายภาษาซึ่งครอบคลุมถึงบริบทในด้านต่างๆ อาทิ การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ปรัชญา วรรณคดี ชนเผ่า ประเพณีพื้นเมือง ภาษา ประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเป็นต้น


ในปี 1987 องค์การยูเนสโกของสหประชาชาติได้จัดตุนหวงอยู่ในบัญชีรายชื่อรายการอนุรักษ์ มรดกทางวัฒนธรรมแห่งโลก และในปี 1991 ได้มอบเอกสาร "มรดกทางวัฒนธรรมแห่งโลก" แก่เมืองตุนหวง







ถ้ำตุนหวง เป็นถ้ำหินพุทธศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดและลือชื่อที่สุดในจีน นอกจากนี้ ยังมีน้ำพุเยว่หยาเฉวียนที่ได้สมญานามว่า น้ำพุอันดับหนึ่งในทะเลทราย อีกทั้งยังมีภูเขาซันเวยซานซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมของเมืองตุนหวงที่มี ชื่อเสียง ข้อมูลเพิ่มเติม CRI
Read more

"ซากอร์ส" บทสุดท้ายและการเริ่มต้นใหม่ของชีวิต

ออกไปแสวงบุญเสียก่อนจะตาย คำนี้ช่างมีความหมายกินใจเราเหลือเกิน สถานที่แห่งความศักดิ์สิทธ์นั้นอยู่หนใด แล้วการเดินทางของเราก็ได้เริ่มต้นขึ้นในวันนี้


เมืองซากอร์ส (Zagorsk) อ่านป้ายแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด เพราะอีกไม่นานมันจะเต็มไปด้วยไอเสียจากรถยนต์แต่ละคันที่พร้อมสตาร์ท เครื่อง แล้วออกไปโลดแล่นตามท้องถนนในเช้าวันใหม่

เมืองซากอร์ส เป็นถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างศักดิ์สิทธ์ของรัสเซีย ตัวเมืองนั้นอยู่ห่างจากมอสโก ประมาณ 70 กิโลเมตร การที่จะเข้าเมืองนั้นคุณอาจต้องตื่นแต่เช้า ไม่อย่างนั้นคุณอาจถึงที่หมายสายเกินไปก็ได้





หลังจากที่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงเมืองอันเงียบสงบ คงเป็นเพราะยังเช้าอยู่ ไม่แน่นะหากสายไปกว่านี้อาจมีเสียงอึกทึกมากกว่านี้สักหน่อย มีคนบอกว่าเมืองนี้เปรียบเสมือนเมืองโบราณ นั่นก็คงเป็นความจริง เพราะเมืองซากอร์สได้เป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-17

ด้วยความเก่าแก่ของตัวเมือง ซากอร์สจึงถือได้ว่าเป็นเมืองที่เหมาะแก่การมาแสวงบุญเป็นอย่างยิ่งค่ะ ภายในเมืองยังมีวิทยาลัยสอนศิลปะ สอนการร้องเพลงทางศาสนา สอนการวาดภาพไอคอน ภายในวิทยาลัยสงฆ์ที่มีบาทหลวง 400 รูป และนักศึกษา 100 คนเลยทีเดียว





จุดเริ่มต้นของการชมเมืองเราคงต้องเริ่มที่ โรงทาน (Refactory) นั้นถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ในคริสต์ศวรรษที่ 16

สำหรับภายในตกแต่งด้วยภาพนักบุญ สมัยพระนางแคทเธอรีนมหาราชได้ทรงดำรัสให้นำรูปภาพนักบุญจากช่างฝีมือมอสโค ชั้นเอกมาติดตั้งที่นี่ มีแท่นสำหรับประกอบพิธีของสังฆราชและสำหรับนักร้องสวด การสวดมนต์ของรัสเซียนั้นไม่มีดนตรีประกอบ จะใช้เสียงร้องอย่างเดียวเท่านั้น ชั้นล่างเป็นห้องครัว สำหรับทำอาหารให้ทานกับคนจน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เปิดเฉพาะฤดูหนาว

สถานที่ที่เราจะไปเยือนกันต่อไปนั้นก็คงเป็น โบสถ์อัสสัมชัญ (Assumption Cathedral) โบสถ์ที่มีความสวยงามมากของเมือง มีการสร้างในสมัยพระเจ้าอีวานเมื่อปี ค.ศ. 1559-1585 เลียนแบบมหาวิหารอัสสัมชัญที่จตุรัสวิหารแห่งเคลมลิน







ภายในนั้นตกแต่งด้วยภาพเฟลสโกและภาพไอคอน 5 ชั้น ที่สำคัญคือมีโลงศพไม้ที่นักบุญเซอร์เจียสทำขึ้นเอง ซึ่งตั้งอยู่ที่มุมขวาสุดของตัวโบสถ์ เปิดเฉพาะฤดูร้อน

ถัดจากการชมโบสถ์อัสสัมชัญอันสวยวิจิตรแล้ว มเราก็มาเยือนโบสถ์อีกหลัง ซึ่งก็คือ โบสถ์ โฮลีทรินิตี้ (Holy Trinity Monastery) สร้างในปี ค.ศ. เป็นโบสถ์แรกของเมืองซาร์กอร์ส สถาปัตยกรรมแบบยอดโดมหัวหอมสีทอง ภายในตกแต่งด้วยภาพเฟรสโกและภาพไอคอน 5 ชั้น ที่สำคัญคือมีโลงศพเงินของนักบุญเซอร์เจียส ภายในบรรจุกระดูกของท่านที่ประชาชนศัทธาและจะเดินทางมาสักการะด้วยการจูบฝา โลงศพเงินที่ตั้งอยู่มุมด้านขวาสุดของตัวโบสถ์


จากนั้นแวะไปชม หอระฆัง (Bell Tewer) สร้าง ในสมัยพระนางแคเธอรีนมหาราช ที่ต้องการสร้างให้เหมือนหอระฆังที่จตุรัสวิหารแห่งพระราชวังเคลมลิน กรุงมอสโก แต่นี่สูงกว่า คือสูงถึง 98 เมตร ระฆังน้ำหนักแตกต่างกัน 20 - 80 ตัน

และแน่นอนว่าสถานที่ต่อไปนั้นเราจะต้องไม่ควรพลาด เพราะชื่อเสียงอันก้องโลกของเจ้าของสถานที่ในสมัยก่อนนั้น คุณอาจต้องรู้สึกสะพรึงกลัวได้ง่ายๆ วังพระเจ้าซาร์ (Tsar's Chambers) วังของกษัตริย์ที่มีการกล่าวในเรื่องของการปกครองอันโหด เหี้ยมและน่ากลัว

โดยวังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1692 เดิมเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์ เวลาเสด็จมาทำพิธีทางศาสนา ปัจจุบันเป็นที่ประทับของสังฆราช เวลาเดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนา (ปกติจำวัดที่กรุงมอสโก)

บทสุดท้ายของการเดินทาง เราขอแนะนำให้คุณไปยัง บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Chapel Over the Well) ซึ่งเคยมีเรื่องเล่าว่า ชายตาบอดเดินทางมาที่โบสถ์ แล้วค้นพบบ่อน้ำโดยบังเอิญ

ด้วยเหตุใดไม่ทราบหลังจากนำน้ำมาล้างหน้า ความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ชายตาบอดมองเห็นได้ น้ำในบ่อเป็นน้ำที่ซึมมาเองตามธรรมชาติ ทางโบสถ็ได้ทำการสร้างเชื่อมบ่อน้ำกับซุ้มน้ำ เพื่อให้ใช้สำหรับประชาชนที่ต้องการน้ำศักดิ์สิทธิ์ กลับไปเพื่อเป็นศิริมงคลหรือนำไปฝากญาติพี่น้องโดยทำเป็นซุ้มมีหลังคาปิด ด้านบนด้วย บ่อน้ำเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.30 - 17.00 น.

แม้จะเหนื่อยกับการเดินทาง แน่นอนว่าความเหนื่อยล้าไม่อาจบั่นทอนความรู้สึกของเราได้อย่างแน่นอน การเริ่มต้นค้นหาสิ่งใหม่ๆย่อมช่วยจรรโลงสมอง และความเป็นมนุษย์ของเราได้เป็นอย่างดี
Read more

กราซ เสน่ห์ไวน์และหมู่ปราสาท

ออสเตรีย เป็นประเทศที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวอันดับต้นๆของยุโรป แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ แค่ประเทศเพื่อนบ้านก็นับว่าหรูสุดๆแล้วหล่ะ





กราซ (Graz) คือหนึ่งในเมืองที่ผู้เขียนอยากไปเยือนสักครั้งเหมือนกัน เพราะเพียงแค่ได้ดูการรีวิวของคนที่เคยไปเที่ยวมา แล้วนำมาแบ่งปันให้คนอื่นๆบ้าง บอกตามตรงนะว่ากำลังอิจฉาขั้นรุนแรงเลยหล่ะ ในฝจก็คิดแต่ว่าเมื่อไหร่กันนะเราจะมีโอกาสเหมือนเขาบ้าง...

คุณจะเชื่อหรือเปล่าว่า กราซ นั้นถือว่าหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ด้วยความงดงามตระการตา และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ กราซ (Graz) คงเป็นสมเหตุสมผลนะ ว่าทำไมเราถึงมายืนอยู่ ณ เมืองนี้เสียแล้ว





เราเริ่มต้นเดินทางท่องเที่ยวกันที่ สวนงานปั้นออสเตรีย (Austrian Sculpture Park) ด้วยพื้นที่กว่า 7 เฮคแตร์ นี่เองที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินกับความสวยงามของสระบัว เขาวงกต ไปจนสวนกุหลาบที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง หลังจากที่เดินวนเวียนหลงอยู่ในเขาวงกตมานาน เราก็หนีออกมาได้เสียทีค่ะ







แน่นอนว่ามาออสเตรียคุณจะไม่พลาดชมเมืองที่มีสไตล์ยุคกลาง และชมหอนาฬิกาที่อยู่บนยอดเขา สถานที่ที่ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกราซอีกด้วยค่ะ





สุดท้ายเราก็ตรงดิ่งไปยัง ปราสาท Riegersburg ปราสาทโบราณที่มีอายุมากกว่า 850 ปี เมื่อมองลงมาจากตัวปราสาท คุณจะตื่นตาตื่นใจกับวิวทิวทัศน์อันน่าพิศวงของหุบเขาและผืนป่าที่อยู่ เบื้องล่าง ชมไร่องุ่นที่ทอดตัวอยู่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา
Read more

MENU



คุยกันถูกคอก็แบบนี้หล่ะ

ShoutMix chat widget