เมืองซากอร์ส (Zagorsk) อ่านป้ายแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด เพราะอีกไม่นานมันจะเต็มไปด้วยไอเสียจากรถยนต์แต่ละคันที่พร้อมสตาร์ท เครื่อง แล้วออกไปโลดแล่นตามท้องถนนในเช้าวันใหม่
เมืองซากอร์ส เป็นถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างศักดิ์สิทธ์ของรัสเซีย ตัวเมืองนั้นอยู่ห่างจากมอสโก ประมาณ 70 กิโลเมตร การที่จะเข้าเมืองนั้นคุณอาจต้องตื่นแต่เช้า ไม่อย่างนั้นคุณอาจถึงที่หมายสายเกินไปก็ได้
หลังจากที่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงเมืองอันเงียบสงบ คงเป็นเพราะยังเช้าอยู่ ไม่แน่นะหากสายไปกว่านี้อาจมีเสียงอึกทึกมากกว่านี้สักหน่อย มีคนบอกว่าเมืองนี้เปรียบเสมือนเมืองโบราณ นั่นก็คงเป็นความจริง เพราะเมืองซากอร์สได้เป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-17
ด้วยความเก่าแก่ของตัวเมือง ซากอร์สจึงถือได้ว่าเป็นเมืองที่เหมาะแก่การมาแสวงบุญเป็นอย่างยิ่งค่ะ ภายในเมืองยังมีวิทยาลัยสอนศิลปะ สอนการร้องเพลงทางศาสนา สอนการวาดภาพไอคอน ภายในวิทยาลัยสงฆ์ที่มีบาทหลวง 400 รูป และนักศึกษา 100 คนเลยทีเดียว


จุดเริ่มต้นของการชมเมืองเราคงต้องเริ่มที่ โรงทาน (Refactory) นั้นถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ในคริสต์ศวรรษที่ 16
สำหรับภายในตกแต่งด้วยภาพนักบุญ สมัยพระนางแคทเธอรีนมหาราชได้ทรงดำรัสให้นำรูปภาพนักบุญจากช่างฝีมือมอสโค ชั้นเอกมาติดตั้งที่นี่ มีแท่นสำหรับประกอบพิธีของสังฆราชและสำหรับนักร้องสวด การสวดมนต์ของรัสเซียนั้นไม่มีดนตรีประกอบ จะใช้เสียงร้องอย่างเดียวเท่านั้น ชั้นล่างเป็นห้องครัว สำหรับทำอาหารให้ทานกับคนจน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เปิดเฉพาะฤดูหนาว
สถานที่ที่เราจะไปเยือนกันต่อไปนั้นก็คงเป็น โบสถ์อัสสัมชัญ (Assumption Cathedral) โบสถ์ที่มีความสวยงามมากของเมือง มีการสร้างในสมัยพระเจ้าอีวานเมื่อปี ค.ศ. 1559-1585 เลียนแบบมหาวิหารอัสสัมชัญที่จตุรัสวิหารแห่งเคลมลิน



ภายในนั้นตกแต่งด้วยภาพเฟลสโกและภาพไอคอน 5 ชั้น ที่สำคัญคือมีโลงศพไม้ที่นักบุญเซอร์เจียสทำขึ้นเอง ซึ่งตั้งอยู่ที่มุมขวาสุดของตัวโบสถ์ เปิดเฉพาะฤดูร้อน
ถัดจากการชมโบสถ์อัสสัมชัญอันสวยวิจิตรแล้ว มเราก็มาเยือนโบสถ์อีกหลัง ซึ่งก็คือ โบสถ์ โฮลีทรินิตี้ (Holy Trinity Monastery) สร้างในปี ค.ศ. เป็นโบสถ์แรกของเมืองซาร์กอร์ส สถาปัตยกรรมแบบยอดโดมหัวหอมสีทอง ภายในตกแต่งด้วยภาพเฟรสโกและภาพไอคอน 5 ชั้น ที่สำคัญคือมีโลงศพเงินของนักบุญเซอร์เจียส ภายในบรรจุกระดูกของท่านที่ประชาชนศัทธาและจะเดินทางมาสักการะด้วยการจูบฝา โลงศพเงินที่ตั้งอยู่มุมด้านขวาสุดของตัวโบสถ์
จากนั้นแวะไปชม หอระฆัง (Bell Tewer) สร้าง ในสมัยพระนางแคเธอรีนมหาราช ที่ต้องการสร้างให้เหมือนหอระฆังที่จตุรัสวิหารแห่งพระราชวังเคลมลิน กรุงมอสโก แต่นี่สูงกว่า คือสูงถึง 98 เมตร ระฆังน้ำหนักแตกต่างกัน 20 - 80 ตัน
และแน่นอนว่าสถานที่ต่อไปนั้นเราจะต้องไม่ควรพลาด เพราะชื่อเสียงอันก้องโลกของเจ้าของสถานที่ในสมัยก่อนนั้น คุณอาจต้องรู้สึกสะพรึงกลัวได้ง่ายๆ วังพระเจ้าซาร์ (Tsar's Chambers) วังของกษัตริย์ที่มีการกล่าวในเรื่องของการปกครองอันโหด เหี้ยมและน่ากลัว
โดยวังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1692 เดิมเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์ เวลาเสด็จมาทำพิธีทางศาสนา ปัจจุบันเป็นที่ประทับของสังฆราช เวลาเดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนา (ปกติจำวัดที่กรุงมอสโก)
บทสุดท้ายของการเดินทาง เราขอแนะนำให้คุณไปยัง บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Chapel Over the Well) ซึ่งเคยมีเรื่องเล่าว่า ชายตาบอดเดินทางมาที่โบสถ์ แล้วค้นพบบ่อน้ำโดยบังเอิญ
ด้วยเหตุใดไม่ทราบหลังจากนำน้ำมาล้างหน้า ความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ชายตาบอดมองเห็นได้ น้ำในบ่อเป็นน้ำที่ซึมมาเองตามธรรมชาติ ทางโบสถ็ได้ทำการสร้างเชื่อมบ่อน้ำกับซุ้มน้ำ เพื่อให้ใช้สำหรับประชาชนที่ต้องการน้ำศักดิ์สิทธิ์ กลับไปเพื่อเป็นศิริมงคลหรือนำไปฝากญาติพี่น้องโดยทำเป็นซุ้มมีหลังคาปิด ด้านบนด้วย บ่อน้ำเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.30 - 17.00 น.
แม้จะเหนื่อยกับการเดินทาง แน่นอนว่าความเหนื่อยล้าไม่อาจบั่นทอนความรู้สึกของเราได้อย่างแน่นอน การเริ่มต้นค้นหาสิ่งใหม่ๆย่อมช่วยจรรโลงสมอง และความเป็นมนุษย์ของเราได้เป็นอย่างดี
0 comments:
Post a Comment